หน้าหลัก

GENERAL INFORMATION
          บริษัท เอคเทค คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด บริษัทจดทะเบียน นิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมพ.ศ.2562 เดิมชื่อบริษัท แอปเปิ้ล เอ็กเปอร์ต คอนสตรัคชั่น เทคโนโสยี จำกัด จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อมาเป็นชื่อปัจจุบันเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2565 ปัจจุบันดำเนินกิจการรับเหมางานประเภทตกแต่งภายในและปรับปรุงอาคารให้แก่หน่วยงานราชการและเอกชน มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วมูลค่าห้าล้านบาท ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่288/6 หมู่ที่ 12 ตำบลราชาเทว: อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการเป็นอาคารพานิชย์ 4 ชั้นพื้นที่ใช้สอย 440 ตารางเมตร ทำสัญญาเช่า ใช้เป็นสำนักงานจากเจ้าของทรัพย์ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทฯ ปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมด 18 คน แบ่งเป็นพนักงานประจำ 10 คน และพนักงานสัญญาจ้าง 10 คน มูลค่างนสูงสุดณ ปัจจุบัน 12,678,956.00 บาท โดยเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานภาครัฐ มีรายได้สุทธิในปี 2564-2565รวมมูลค่าสามสิบเอ็ดล้านบาทโดยในส่วนนี้เป็นกำไรสุทธิสองล้านบาท

HISTORY
     บริษัท เอคเทค คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด เกิดจากความตั้งใจในการดำเนินกิจการรับเหมาก่อสร้างภายใต้วิสัยทัศน์ที่เน้นการทำงานรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ในราคาที่สามารถแข่งขันกับตลาดได้เน้นการทำงานตามขั้นตอนมีการวางแผนมาอย่างดี รวดเร็ว รอบคอบและรัดกุม ธุรกิจของเรามีกลุ่มเป้าหมายเป็นหน่วยงานภาครัฐ รับงานผ่านกลไกการเสนอราคาในระบบประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญในการทำงานก่อสร้างให้หน่วยงานราชการมาก่อน ตลอดจนบริษัทฯมีศักยภาพในการเข้าถึงงานโครงการภาครัฐอย่างต่อเนื่องทำให้กลุ่มลูกค้าของเราเป็นหน่วยงานของรัฐเกือบทั้งหมด
      ภายใต้แนวคิดนี้ บริษัทฯ เริ่มต้นธุรกิจด้วยการรับเหมางานก่อสร้างอาคารให้แก่หน่วยงานราชการโดยเริ่มรับงานก่อสร้างทางเชื่อมอาคารเรียน ณ โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จังหวัดนครปฐมเป็นงานแรก โดยในปีแรกที่จัดตั้ง สามารถรับงานได้ 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5.5 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของการทำธุรกิจ เนื่องจากมีรายรับจากการเรียกชำระหนี้จริงเพียงแค่ 2.4ล้านบาท จากยอดทำสัญญา 5.5 ล้านบาท เพราะโครงการก่อสร้างภาครัฐใช้ระยะเวลาก่อสร้างที่นานโดยเฉลี่ย 8-12 เดือนต่อโครงการอีกทั้งยังมีระยะเวลาในการตรวจรับงานและเบิกจ่ายประมาณ 30-60วัน ทำให้ในรอบบัญชีของปีแรกบริษัทฯ ยังต้องอาศัยเงินกู้ยืมจากกรรมการในการดำเนินกิจการเป็นหลัก ในปีถัดมาซึ่งเป็นปีที่สอง
      บริษัทฯ ได้เปลี่ยนแนวคิดในการรับงานโดยจากการรับงานก่อสร้างอาคารรัฐบาลหลากหลายรูปแบบซึ่งทำให้มีต้นทุนสูงในการซื้อเครื่องมือก่อสร้างและวัสดุสิ้นเปลืองหันมารับงานอาคารรูปแบบมาตรฐาน (แบบอาคารรัฐบาลสำเร็จรูป)ซึ่งในปีที่สองนี้สามารถรับงานได้ 6 โครงการ มูลค่าสัญญารวม 20 ล้านบาท โดยมีรายได้ค้างรับจากงานปีก่อนหน้าที่เรียกเก็บเงินได้ในปีนี้ 3 ล้านเศษรวมแต่กลับมีรายรับจากงานใหม่เฉพาะในปีนี้ 9 ล้านบาทซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนโครงการที่ทำสัญญาในปีนี้ที่มีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านบาท อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 เนื่องจากมาตรการของภาครัฐที่ได้สั่งปิดไซด์งานก่อสร้างและห้ามการเคลื่อนย้ายแรงงาน ประกอบกับผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างหลายรายได้รับผลกระทบจากปัญหาการหยุดสายงานผลิตเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ ประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก

      ผู้บริหารและทีมงานจึงได้ร่วมกันหาทางออกด้วยการเริ่มต้นจับงานรีโนเวท ปรับปรุงอาคารและตกแต่งภายในอาคารให้กับหน่วยงานราชการแทน โดยอาศัยพื้นฐานด้านความสามารถในการเข้าถึงโครงการปรับปรุงอาคารของรัฐบาลและการศึกษาเพิ่มเติมในองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องในระหว่างที่ไม่สามารถทำงานก่อสร้างตามปกติได้ ในที่สุดก็ได้รับงานปรับปรุงอาคารรัฐบาลเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2564 คืองานปรับปรุงสถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ กรมการแพทย์ ซึ่งมีมูลค่างานสูงกว่า 5.35 ล้านบาทและช้ระยะเวลาก่อสร้างเพียง 67 วัน จากระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญาที่ 175 วัน ก็สามารถส่งมอบงานให้แก่ผู้ว่าจ้างได้และยังมีสัดส่วนการทำกำไรขั้นต้นในโครงการ (Gross Margin) ในระดับใกล้เคียงกับการก่อสร้างอาคารซึ่งใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 8-12 เดือนด้วยเหตุนี้ทำให้บริษัทฯ หันมารับงานปรับปรุง(รีโนเวท) และตกแต่งภายในตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเริ่มเติบโตในด้านมูลค่าของโครงการทำให้ในปีที่สาม สามารถรับงานได้ 6 โครงการ มูลค่ารวม 31.1ล้านบาท พร้อมทั้งยังสามารถประมูลงานมูลค่า 12.6 ล้านได้ในปลายปีที่ 3 นับว่าเป็นก้าวใหญ่ที่สำคัญและแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ชัดเจนขององค์กรอีกด้วย

     หากมองย้อนไปจากปัจจุบัน องค์กรได้เผชิญวิกฤติต่างๆมากมายและได้ก้าวผ่านอุปสรรค์เหล่านั้นมาได้ ปัจจัยสำคัญคือรูปแบบการทำงานที่เน้นการวางแผนที่รัดกุม รวดเร็ว แม่นยำ และการมีความสามารถในการปรับตัว เปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยอาศัยจุดแข็งเดิมเป็นพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ ร่วมกับการมองหาช่องทางโอกาสใหม่ๆเข้ามา ทำให้องค์กรสามารถอยู่รอดผ่านวิกฤติและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง